วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การบำรุงรักษากระดูก

ใช่ว่าจะกินแต่แคลเซียม แล้วจะทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ไม่เป็นสาวกระดุกเปราะ หลังโก่ง เมื่อเป็นคุณยาย เพราะทุกวันนี้คุณอาจเผลอกินอาหารที่ทำลายกระดูกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้


อาหารที่ลดความหนาแน่นของกระดูก

1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย มีงานวิจัยล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ระบุว่ากาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจากคาเฟอีน ในกาแฟ จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ว่าแล้วสาว ๆ ที่ติดกาแฟ ก็ดื่มน้อย ๆ ลงจะดีกว่านะ

2. น้ำอัดลม มีงานวิจัยล่าสุดพบว่า เครื่องดื่มเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้ มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่าย โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่า ผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียว อยากให้กระดูกแข็งแรง ดื่มให้น้อยลง จะดีกว่านะ


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก

ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ คุณไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้คุณกลายเป็นยายแก่ ที่กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวดและทรมานมาก นอกจากนี้ ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียม เมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูญเสียปริมาตรของกระดูกลง มาเริ่มต้นสร้างความแข็งแรงให้กระดูก ตั้งแต่วัยสาวๆ หน้ายังใสดีกว่านะ


5 วิธีเสริมความแข็งแรงให้กระดูก

นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหาร ที่ทำลายความหนาแน่นของกระดูกแล้ว ควรหาวิธีปกป้อง และเสริมความแข็งแรงให้กระดูกกันตั้งแต่ยังเป็นตอนนี้ดีกว่า

1. ออกกำลังกาย
เป็นวิธีที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง แอโรบิค เล่นเทนนิส ยกเวท กระโดดเชือก ช่วยเสริมความหนาแน่นให้กระดูกได้ ยกเว้นการว่ายน้า ที่กลับไม่ได้ผลดีนัก

2. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม
แคลเซียม เป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับกระดูกและฟัน โดยเฉพาะแคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็ง เป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี แต่ก็มักได้ไขมันเป็นของแถม หากเลือกเป็นนมพร่องมันเนย ก็น่าจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ อาหารพื้นบ้านเช่น ปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว เต้าหู้แผ่น และถั่วเหลือง ก็เป็นเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน โดยเฉพาะถั่วเหลืองนั้น นอกจากช่วยชะลอความเสื่อมของกระดูกแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย

3. ควบคุมน้ำหนักตัว
การที่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไป จะทำให้คุณเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกผุได้

4. เลิกสูบบุหรี่
สาวๆ ที่ติดบุหรี่ มักมีปั¬ญหาโรคกระดูกผุก่อนเวลาได้ เนื่องจากบุหรี่จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้

5. วิตามินดี
วิตามินดี ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาตรของกระดูกได้ โดยเฉพาะนม มีทั้งแคลเซียมและวิตามินดีสูง แต่การซื้อวิตามินดีมารับประทาน จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป และเกิดอันตรายได้

พลังมหัศจรรย์ในอาหารเป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัยมาเบียดเบียน..
เต้าหู้... คุณภาพคับก้อน จากเมล็ดถั่วเหลือง ซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอดจะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกันล่ะ ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูง อุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล

ดร.แอนเดอร์สัน แห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า การกินเต้าหู้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมน ที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิดโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใส ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรรับประทานเต้าหู้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

จัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวัน นอกจากสุขภาพจะดีแล้วผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วย เห็นไหมล่ะ คุณภาพคับก้อนจริงๆ

มะเขือเทศพระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี.. ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยง อาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมสำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาล ีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะ

ผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐ ระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศ และผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิดได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว

กินกระเทียมให้เป็นยาโดยไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์ คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้ เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้

ดร.วาร์โร อี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอสไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียมจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวัน โรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่ายๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี ยังไม่หมดนะ สำหรับสรรพคุณของกระเทียม.. หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา

ก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสดๆ สัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว

แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต ดร.เม็ทชนิคอฟ แห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะในลำไส้ ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำไส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่าง มีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ มะเขือต่างๆ  หอมหัวใหญ่  กระเทียม ถั่วเหลือง  แอปเปิ้ล และโยเกิร์ต

วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุม ไขมันๆ เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนักคุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน
รับประทานกระเทียมสดๆ เล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิงคุณยังสามารถรับประทานเนย แฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆ ได้ในบางมื้อบางวันหากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้วอาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหาร และแร่ธาตุสำคัญที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมาย
ในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่ และโยเกิร์ต ต่างช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น

การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้
ดร.จีน คาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ (dyspepsia) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง
ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย
จากการศึกษาผู้ป่วย 46 คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา พบว่า ผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่า การรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผง ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้

ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร

                 ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร

      ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อ Influenza virus เป็นการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ เช่น จมูก คอ หลอดลม และปอด เชื้ออาจจะลามเข้าปอดทำให้เกิดปอดบวม ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัวปวดกล้ามเนื้อมาก จะพบมากทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการเสียชีวิตมักจะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียน
สำหรับไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไข้ไม่สูงมาก
ในปี คศ.2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้
  1. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนคือเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน(เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน
  2. เด็กที่อายุ 6-23 เดือนควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย
  3. ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2)-like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1)-like, และ B/Hong Kong/330/2001
  4. ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท
การติดต่อ
เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายโดยทางเดินหายใจ วิธีการติดต่อได้แก่
  • ติดต่อโดยการไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางเยื่อบุตาและปาก
  • สัมผัสเสมหะของผู้ป่วยทางแก้วน้ำ ผ้า จูบ
  • สัมผัสทางมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
อาการของโรค
อาการของไข้หวัดใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัด แต่ไข้หวัดใหญ่จะเร็วกว่า ไข้สูงกว่า อาการทำสำคัญได้แก่
  1. ระยะฟักตัวประมาณ1-4 วันเฉลี่ย 2 วัน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้
  • ปวดศรีษะอย่างรุนแรง
  • ปวดแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบกระบอกตา
  • ไข้สูง 39-40 องศาในเด็ก ผู้ใหญ่ไข้ประมาณ 38 องศา
  • เจ็บคอคอแดง มีน้ำมูกไหล
  • ไอแห้งๆ ตาแดง
  • ในเด็กอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
  • อาการไข้ คลื่นไส้อาเจียนจะหายใน 2 วัน แต่อาการน้ำมูกไหลคัดจมูกอาจจะอยู่ได้ 1 สัปดาห์
  1. สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงมักจะเกิดในผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว
  • อาจจะพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ่มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
  • อาจจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ซึมลง หมดสติ
  • ระบบหายใจอาจจะมีอาการของโรคปอดบวม จะหอบหายใจเหนื่อยจนถึงหายใจวาย
  • โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่จะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางรายซึ่งอาจจะมีอาการปวดข้อและไอได้ถึง 2 สัปดาห์
ระยะติดต่อ
ระยะติดต่อหมายถึงระยะเวลาที่เชื้อสามารถติดต่อไปยังผู้อื่น
  • ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ
  • ห้าวันหลังจากมีอาการ
  • ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่จะอาศัยระบาดวิทยา โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาด และอาการของผู้ป่วย การวินิจฉัยที่แน่นอนต้องทำการตรวจดังนี้
  1. นำเอาเสมหะจากจมูกหรือคอไปเพาะเชื้อไวรัส
  2. เจาะเลือดผู้ป่วยหาภูมิ 2 ครั้งโดยครั้งที่สองห่างจากครั้งแรก 14 วัน
  3. การตรวจหา Antigen
  4. การตรวจโดยวิธี PCR,Imunofluorescent
โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ
  1. ผู้ป่วยอาจจะมีอาการกำเริบของโรคที่เป็นอยู่ เช่นหัวใจวาย หรือหายใจวาย
  2. มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ เช่น ปอดบวม ฝีในปอด
  3. เชื้ออาจจะทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  4. หูอักเสบ
การรักษา
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่จะหายเอง หากมีอาการไม่มากอาจจะดูแลเองที่บ้าน วิธีการดูแลมีดังนี้
  • ให้นอนพักไม่ควรจะออกกำลังกาย
  • ให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือดื่มน้ำผลไม้ ไม่ควรดื่มน้ำเปล่ามากเกินไปเพราะอาจจะขาดเกลือแร่ ดื่นจนปัสสาวะใส
  • รักษาตามอาการ หากมีไข้ให้ใช้ผ้าชุมน้ำเช็ดตัว หากไข้ไม่ลงให้รับประทาน paracetamol ไม่แนะนำให้ aspirinในคนที่อายุน้อยกว่า 20 ปีเพราะอาจจะทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า Reye syndrome การรับประทาน paracetamol ก็ต้องระวังจะทำให้ตับอักเสบ
  • ถ้าไอมากก็รับประทานยาแก้ไอ แต่ในเด็กเล็กไม่ควรซื้อยารับประทาน
  • สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจจะใช้น้ำ 1 แก้วผสมเกลือ 1 ช้อนกรวกคอ
  • อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆเพราะอาจจะทำให้เชื้อลุกลาม
  • ในช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์สาธรณะ ลูกบิดประตู
  • เวลาไอหรือจามต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก
  • ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงสถามที่สาธารณะ
ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เมื่อไร
แม้ว่าไข้หวัดใหญ่จะหายได้เอง แต่ผู้ป่วยบางรายมีโรคแทรกซ้อน ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์
ผู้ป่วยเด็กควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
  • ไข้สูงและเป็นมานาน
  • ให้ยาลดไข้แล้วไข้ยังเกิน 38.5องศา
  • หายใจหอบหรือหายใจลำบาก
  • มีอาการมากกว่า 7 วัน
  • ผิวสีม่วง
  • เด็กดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารไม่พอ
  • เด็กซึม หรือไม่เล่น
  • เด็กไข้ลด แต่อาการไม่ดีขึ้น
สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่หากมีอาการดังต่อไปนี้ให้พบแพทย์
  • ไข้สูงและเป็นมานาน
  • หายใจลำบาก หรือหายใจหอบ
  • เจ็บหรือแน่นหน้าอก
  • หน้ามืดเป็นลม
  • สับสน
  • อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได
กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มที่เสี่งต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน ควรจะพบแพทย์เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคตับ โรคหัวใจ โรคไต โรคปอด โรคเบาหวาน
  • คนท้อง
  • คนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
  • เด็กเล็กหรือทารก
  • ผู้ป่วยโรคเอดส์
  • ผู้ที่พักในสถาพเลี้ยงคนชรา
  • เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์
  • เจ้าหน้าที่ที่ดูลแลผู้สูงอายุหรือดูแลคนป่วย
หากท่านสงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ท่านต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ
ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการเหล่านี้ควรจะรักษาในโรงพยาบาล
  • มีอาการขาดน้ำไม่สามารถดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ
  • เสมหะมีเลือดปน
  • หายใจลำบาก หายใจหอบ
  • ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วงเขียว
  • ไข้สูงมากเพ้อ
  • มีอาการไข้และไอหลังจากไข้หวัดหายแล้ว
การรักษาในโรงพยาบาล
  • แพทย์จะให้น้ำเกลือสำหรับผู้ที่ดื่มน้ำไม่พอ
  • ผู้ป่วยเหล่านี้ควรจะได้รับยา Amantadine หรือ rimantidine เพื่อให้หายเร็วและลดความรุนแรงของโรค ควรจะให้ใน 48 ชมหลังจากมีไข้ และให้ต่อ 5-7 วัน ยานี่ไม่ได้ลดโรคแทรกซ้อน
  • ให้ยาลดน้ำมูกหากมีน้ำมูก
  • ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนไม่ควรให้ยาปฎิชีวนะ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะหายใน 2-3 วันไข้จะหายใน 7 วันอาการอ่อนเพลียอาจจะอยู่ได้ 1-2 สัปดาห์
การป้องกัน
  • ล้างมือบ่อยๆ
  • อย่าเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา
  • อย่าใช้ของส่วนตัว เช่นผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
  • ให้พักที่บ้านเมื่อเวลาป่วย
  • เวลาไอจามใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก
  • หลีกเลี่ยงที่ชุมชนเมื่อมีการระบาด
การฉีดวัคซีน
         การป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีน ซึ่งทำจากเชื้อที่ตายแล้วโดยฉีดทีแขนปีละครั้ง   หลังฉีด 2 สัปดาห์ภูมิจึงขึ้นสูงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ แต่การฉีดจะต้องเลือกผู้ป่วยดังต่อไปนี้
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวเช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตับ
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ป่วยโรคเอดส์
  • หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป และมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่อาศัยในสถานเลี้ยงคนชรา
  • เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
  • นักเรียนที่อยู่รวมกัน
  • ผู้ที่จะไปเที่ยวยังที่ระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่ต้องการลดการติดเชื้อ
การใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่เพื่อรักษา
  • Amantadine and Ramantadine เป็นยาที่ใช้ในการป้องกันและรักษาไวรัสไๆข้หวัดใหญ่ชนิด A ไม่ครอบคลุมชนิด B
  • Zanamivir Oseltamivir เป็นยาที่รักษาได้ทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งชนิด A,B
  • การให้ยาภายใน 2 วันหลังเกิดอาการจะลดระยะเวลาเป็นโรค
จะใช้ยารักษาไข้หวัดกับคนกลุ่มใด
เราจะใช้ยากับคนกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ และยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรคกลุ่มที่ควรจะได้รับยารักษาได้แก่
  • คนที่อายุมากกว่า 65 ปี
  • เด็กอายุ 6-23 เดือน
  • คนท้อง
  • คนที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคไต โรคตับ โรคหัวใจ
การให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่
ยาที่่ได้รับการรับรองว่าใช้ป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้แก่ Amantadine Ramantadine Oseltamivir วิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีน แต่ก็มีบางกรณีที่จำเป็นต้องให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับวัคซีนไม่ทัน ทำให้ต้องได้รับยาในช่วงที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่ดูดแลกลุ่มเสี่ยงและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ควรจะได้รับยาในช่วงที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่นโรคเอดส์
  • กลุ่มคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนและไม่อยากเป็นโรค

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บทที่ 4



  อธิบายว่าภาพนี้คือ
      โปรเเกรม Nero 10
มีเอาไว้สำหรับ
      เขียน CD และครบเครื่องด้านมีเดีย

ประโยชน์
    -  แปลงและบีบอัดวีดีโอหรือดีวีดีไฟล์วิดีโอ
    -  แก้ไขไฟล์เพลง
    -  ใช้งานด่วนแผ่นสำหรับการเผาไหม้, การตัดต่อวิดีโอหรือการสำรองข้อมูล

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

บทที่ 3

1. ขั้นตอนการลงโปรแกรม    
    ขั้นที่ 1
          ดับเบิ้ลคลิกตัวโปรแกรม และคลิก Ok 


       ขั้นที่ 2
          กดปุ่ม Ok


         ขั้นที่  3
              คลิกที่  Next

                    
            ขั้นที่ 4
                  คลิกที่ I  acceptฯ และ กดปุ่ม Next





 
         ขั้นที่ 5
                    กดปุ่ม Next      

            

        ขั้นที่ 6
             กดปุ่ม Next



        ขั้นที่ 7
            กดปุ่ม Next



     ขั้นที่ 8
       กดปุ่ม Next และกด Close







      ขั้นที่ 9
            กดปุ่ม Next


   
     ขั้นที่ 10
        กดปุ่ม Next








     ขั้นที่ 11
          กดปุ่ม Next



     ขั้นที่ 12
        กดปุ่ม Ok



 
       ขั้นที่  13
         กดปุ่ม finish

        ขั้นที่ 14
             กดปุ่ม  Ok


                            
        



วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

บทที่2 : วิธีใช้โปรแกรม Nero Multimedia Suite (สุดยอด โปรแกรม เขียน CD และครบเครื่องด้านมีเดีย)

NERO 10 (Nero Multimedia Suite 10.0.13100)







    เครื่องมือมัลติมีเดีย Nero
Nero StartSmart â =เปิดใช้งานด่วนแผ่นสำหรับการเผาไหม้, การตัดต่อวิดีโอหรือการสำรองข้อมูล
Nero DiscCopy Gadget â =คัดลอกแผ่นดิสก์จากเดสก์ทอป Windows ®
Nero WaveEditor â =แก้ไขไฟล์เพลง
Nero SoundTrax â =เพลงลอกลายระเบียนจากเทปไวนิลและเทปคาสเซ็ต
Nero CoverDesigner â =สร้างป้ายชื่อที่กำหนดเองและครอบคลุม
โรเก ณ ท์ â =แปลงและบีบอัดวีดีโอหรือดีวีดีไฟล์วิดีโอ
Nero Toolkit â =เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานคอมพิวเตอร์

      Multi - Video ติดตามการแก้ไขโดยสมบูรณ์ตัวเลือก keyframe การจัดการ :
หใช้กราฟิกและวิดีโอหลายแทร็คเสียงสำหรับการแก้ไขติดตามหลายจริง สมัคร Picture - in - Picture ผล, ภาพเคลื่อนไหววิดีโอเสียงและผลกระทบการแสดงข้อมูลและค่านิยมที่ถูกต้องโดยการตั้งค่าคุณสมบัติแบบไดนามิก keyframe

แก้ไขและเพิ่มรูปภาพเพียงแค่คลิกเดียว :
ได้อย่างง่ายดายเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปถ่ายภาพที่มีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์หรือสไลด์โชว์ส่วนตัวของคุณโครงการ



คำนำ

 ข้าพเจ้า ด.ญ.วรรณนภา อบเหลือง   นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3  เลขที่ 36  โรงเรียนถาวรานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาเขต 10
           กำลังศึกษาวิชาทฤษฎีความรู้  มีประเด็นความรู้ที่สนใจคือ  Nero Multimedia Suite (สุดยอด โปรแกรม เขียน CD และครบเครื่องด้านมีเดีย)  จึงตั้งประเด็นศึกษาว่า   Nero Multimedia Suite (สุดยอด โปรแกรม เขียน CD และครบเครื่องด้านมีเดีย)
           การศึกษาหาความรู้โดยได้กระทำดังนี้
 1.  จากอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์        http://www.thaiware.com/main/info.php?id=2546
 2.  จากหนังสือ
      ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษาครั้งนี้คือ ได้รู้หลักการใช้งาน  Nero Multimedia Suite (สุดยอด โปรแกรม เขียน CD และครบเครื่องด้านมีเดีย)                                                                       

                                                                         ด.ญ. วรรณนภา อบเหลือง
                                                                     นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Nero Multimedia Suite (สุดยอด โปรแกรม เขียน CD และครบเครื่องด้านมีเดีย)

          Nero Multimedia Suite (สุดยอด โปรแกรม เขียน CD และครบเครื่องด้านมีเดีย) : โปรแกรมWrite แผ่น CD ยอดฮิต ของ เหล่าบรรดาสาวก CD-RWเลย เพราะตัวนี้เป็นอะไรครบเครื่องเรื่อง CD-R เอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ BURN-Proof  ที่กันแผ่นCD-Rของท่านเจ๊งหรือเสียในขณะที่กำลัง Write อยู่ อันมีสาเหตุเนื่องจาก Write เร็วเกินไป หรือ เปิดโปรแกรม อื่นๆ อยู่ขณะ Write เยอะ และด้วยสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับ ความสามารถ ของโปรแกรมทั่วไปก็คือ สามารถ Write แผ่น CD-Audio , VCD , CD Data ฯลฯ ที่สามารถจะทำได้  และนอกจากนี้ โปรแกรมนี้ ยังมี โปรแกรมทำ ปกซีดี (CD-Cover)พร้อม ทำเนื้อเพลง ได้โดยไม่ต้องพิมพ์ด้วยมือ  เพียงแค่การ Copy และก็ Paste เท่านั้น ส่วนรูปภาพที่จะนำมา ทำปกนั้นก็สามารถหามาได้ด้วยตัวเอง   และยังมีบริการ ตกแต่งทำ Effect ของภาพอีกด้วย  นอกนั้นก็ไม่มีอะไร  เพียงแค่ Print ใส่กระดาษออกมา ทั้งปกหน้า-หลัง และก็เอากรรไกร มาตัดเลย
คุณสมบัติเฉพาะ
1. ผู้ผลิต:  Ahead  Software
2. ขนาดไฟล์: 204 MB.
3.ลิขสิทธ์:  Shareware
4.ระบบ os : windows  2000 / 7 / XP
5.เวอร์ชั่นรุ่น :  10.0.131